• ในปี ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) จำนวนช่องโหว่ Zero-day ที่ถูกพบและมีการโจมตีเป็นสัดส่วนสำหรับมือถือมากถึง 30 % นับเป็นการเติบโตมากถึง 4 เท่าจากปีก่อนหน้า หรือหมายถึงมีการเติบโตมากถึง 466 % เมื่อเทียบตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่าน
• การโจมตีรูปแบบ phishing เว็บไซต์มีสัดส่วนสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่มากถึง 75 %
• ที่ผ่านมามีการตรวจพบมัลแวร์ชนิดใหม่ ๆ มากกว่า 2 ล้านชนิด
• อุปกรณ์พกพาที่ได้รับผลกระทบมีมากกว่า 10 ล้านเครื่องใน 214 ประเทศ
• จากการวิเคราะห์แอปพลิเคชันของ iOS และ Android กว่าล้านแอป พบว่ามีจำนวน 14 % ใช้ แบ็กเอนด์คลาวด์สาธารณะ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อมาตรการด้านความปลอดภัย 

ข้อมูลข้างต้นบ่งชี้ว่า แฮกเกอร์มีการหันเป้าหมายมาที่การโจมตีผู้ใช้มือถือ เพราะในยุคสมัยนี้ทุกคนถูกผลักดันให้มีการทำงานและติดต่อสื่อสารกันทางไกลมากขึ้น นั่นทำให้แฮกเกอร์พยายามใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้เพื่อค้นหาช่องโหว่แบบ zero-days

นอกจากนี้บริษัท Proofpoint ซึ่งเชี่ยวชาญด้านโซลูชั่นความปลอดภัยระบบ Email ขององค์กร ยังได้ออกมาย้ำเตือนถึงการเพิ่มขึ้นของมัลแวร์บนอุปกรณ์มือถือถึง 500 % บางตัวมีความสามารถถึงขั้นบันทึกการโทรและวิดีโอคอลบนมือถือ ไปจนถึงการลบข้อมูล และติดตามตำแหน่งของผู้ใช้ โดยมัลแวร์มือถือที่พบบ่อยได้แก่ 

• FluBot
• TeaBot
• TangleBot
• MoqHao
• BRATA
• TianySpy
• KeepSpy

Android vs iOS ใครปลอดภัยกว่า

จากข้อมูลแหล่งที่มา มีการเปรียบเทียบระหว่าง ระบบปฏิบัติการ 2 เจ้ายักษ์ใหญ่บนมือถือ ว่าระบบปฏิบัติการใดที่มีความเสี่ยงมากกว่า ซึ่งได้มีการสรุปข้อมูลเอาไว้ดังนี้

• Android ดูเหมือนจะมีความเสี่ยงมากกว่า iOS ในขณะที่ iOS มักมีข้อบกพร่องที่รุนแรงกว่า Android 
• ปีที่แล้ว Android พบข้อบกพร่อง 574 จุด ส่วน iOS ตรวจเจอข้อบกพร่องอยู่ที่ 367 จุด อย่างไรก็ตาม จากจำนวน 367 จุด มีช่องโหว่ 45 รายการที่นำไปสู่ความเสียหายอย่างร้ายแรง

ทั้งนี้ไม่ว่าคุณจะใช้ Android หรือ iOS ทั้ง 2 ระบบก็มีความเสี่ยงไม่ต่างกัน ตลอดที่ผ่านมามัลแวร์ที่พบในอุปกรณ์พกพามีการพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด มันจะดีที่สุดหากคุณหลีกเลี่ยงการติดตั้งเนื้อหาที่ไม่มีแหล่งที่มา นอกจากนี้ควรหมั่นที่จะอัปเดตระบบปฏิบัติการเพื่อเพิ่มความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ